แนวทางลงทุนต่างประเทศ ฉบับประหยัดภาษีเงินได้


ตามที่กรมสรรพากรได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 161/2566 เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566 และ คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 162/2566 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 เพื่อเป็นแนวปฏิบัติของเจ้าพนักงานในการให้คำแนะนำแก่ผู้เสียภาษีที่เป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งมีเงินได้จากต่างประเทศตามหลัก Resident Rule คือมีเงินได้จากต่างประเทศในปีที่อยู่ในประเทศไทยเกิน 180 วัน โดยหลักปฏิบัตินี้จะมีผลบังคับใช้สำหรับเงินได้จากต่างประเทศที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป* จากหลักปฏิบัตินี้มีผลให้บุคคลธรรมดาที่อยู่อาศัยในประเทศไทยและมีรายได้จากต่างประเทศที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เมื่อนำเงินดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทย จะต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทยตามอัตราภาษีก้าวหน้า (5% - 35%) ด้วยภาระภาษีที่เกิดขึ้นจากหลักปฏิบัตินี้ด้วยภาระภาษีที่เกิดขึ้นจากกฎหมายใหม่นี้ ได้สร้างความกังวลให้เหล่านักลงทุนที่ได้ไปลงทุนในต่างประเทศเป็นอย่างมาก ในบทความนี้ SCB Wealth Planning and Family Office จึงขอนำเสนอแนวทางการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเติม ดังนี้ 


  1. ลงทุนในกองทุนจดทะเบียนตามกฎหมายไทยที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งการลงทุนในลักษณะนี้จะถือว่าเป็นการลงทุนในประเทศไทย กำไรส่วนต่างราคาจะได้รับยกเว้นภาษี รวมทั้งเงินปันผลจะมีการเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายอัตราร้อยละ 10 (Final Tax) ซึ่งเป็นอัตราคงที่และไม่ต้องนำมารวมเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับกรณีที่เป็น Final Tax ทางผู้เสียภาษีจะไม่มีสิทธิ์ขอเครดิตภาษีหรือขอเงินภาษีคืนสำหรับรายได้จากเงินปันผลนี้ 
  2. ลงทุนในรูปแบบการซื้อ  DR (Depositary Receipt) หรือ DRx (Fractional Depositary Receipt) ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นหรือหน่วยลงทุนในต่างประเทศผ่าน platform ในประเทศไทยเช่น InnovestX ในกรณีนี้ก็จะถือว่าเป็นการลงทุนในประเทศไทย ดังนั้นภาระภาษีของบุคคลธรรมดาจะเหมือนกับข้อ 1 ข้างต้นนี้
  3. ปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคลจดทะเบียนจัดตั้งในต่างประเทศ ซึ่งในเรื่องนี้อาจมีความซับซ้อนในการเลือกประเทศที่จะลงทุนและอาจจะต้องทำความเข้าใจภาษีระหว่างประเทศให้ชัดเจน 
  4. ปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคลที่ได้จดทะเบียนจัดตั้งในประเทศไทย  โดยวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบริษัทก็เพื่อใช้ในการลงทุนในต่างประเทศ การลงทุนผ่านนิติบุคคลจะมีภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลอยู่ที่ 20% ของกำไรสุทธิ ซึ่งจะทำให้มีภาระภาษีที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับการลงทุนในรูปแบบบุคคลธรรมดาซึ่งอัตราภาษีที่สูงที่สุดจะอยู่ที่ 35% ในเรื่องนี้ก็มีความแตกต่างที่น่าสนใจระหว่างการลงทุนในต่างประเทศผ่านรูปแบบนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาในแง่มุมของด้านภาระภาษีสำหรับเงินได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ดังนี้


 

 

นิติบุคคล

บุคคลธรรมดา

อัตราภาษี

  • ภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 20% ของกำไรสุทธิ
  • ในกรณีบริษัทจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นที่เป็นบุคคลธรรมดา บริษัทจะต้องหัก ณ ที่จ่ายในอัตรา 10%     

สำหรับกรณีนี้จะมี Effective Tax Rate อยู่ที่ 28% ยกตัวอย่างเช่น บริษัท A มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 100 บาท จะเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 20% ซึ่งก็คือ 20 บาท บริษัทจะมีเงินเหลือ 80 บาท บริษัทได้จ่ายเงินปันผล 80 บาทดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้นที่เป็นบุคคลธรรมดา บริษัทจะมีหน้าที่หัก ณ ที่จ่าย 8 บาท (10% ของ 80 บาท) ภาษีที่จะต้องเสียให้กับสรรพากรในกรณีนี้จึงเป็น 28 บาท หรือก็คือ 28% นั่นเอง 

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามก้าวหน้า (5% - 35%) ตามวิธีเงินได้สุทธิโดยอัตราสูงที่สุด 35%

การหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องจากการลงทุน 

หักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องจากการลงทุน (การประกอบกิจการ) ได้

หักค่าใช้จ่ายทโดยขึ้นอยู่กับประเภทเงินได้ และบางเงินได้หักค่าใช้จ่ายไม่ได้ เช่น เงินได้ดอกเบี้ย เงินได้เงินปันผล  

ผลขาดทุนจากการลงทุน

หากมีผลขาดทุนจากการขายหุ้นสามารถนำมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้

หักผลขาดทุนจากการลงทุนไม่ได้



จากตารางข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่าการลงทุนในต่างประเทศผ่านรูปแบบนิติบุคคลจะมีภาระภาษีที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับบุคคลธรรมดา รวมทั้งยังสามารถหักค่าใช้จ่ายในทางภาษีได้อีกด้วย การลงทุนในรูปแบบบริษัทนี้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้การลงทุนในรูปแบบบริษัทก็จะมีต้นทุนในด้านการบริหารจัดการที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าทำบัญชี ค่าสอบบัญชี ค่าทนายความ เป็นต้น รวมทั้งบริษัทก็ยังมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายเป็นประจำทุกปี เช่น การจัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติงบการเงิน การนำส่งงบการเงินต่อกระทรวงพาณิชย์และกรมสรรพากร ซึ่งวิธีนี้ อาจจะเหมาะกับนักลงทุนที่ลงทุนในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก สำหรับกรณีที่ไม่ได้ลงทุนต่างประเทศเป็นจำนวนที่มากนั้น อาจจะพิจารณาการลงทุนในรูปแบบบุคคลธรรมดาตามตัวอย่างในข้อ 1 และ ข้อ 2 ข้างต้น ซึ่งธนาคารและ InnovestX ก็มีกองทุนและผลิตภัณฑ์หลากหลายให้ท่านพิจารณาเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับความต้องการของท่าน โดยท่านสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุนของท่าน หรือ ผ่าน SCB Call Center 02-777-7777


*เนื้อหาเพิ่มเติมท่านสามารถติดตามได้จากบทความ “อัปเดตภาษีเงินได้ต่างประเทศล่าสุด ก่อนวางแผนนำเงินกลับประเทศไทย

ลูกค้า SCB PRIVATE BANKING ที่สนใจในเรื่องบริหารสินทรัพย์ครอบครัวเพื่อส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น สามารถติดต่อ Wealth Planning and Family Office Division ของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้ที่อีเมล familyofficeteam@scb.co.th หรือ ติดต่อที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุน (RM) ของท่าน

 

===================================================================