ไทยพาณิชย์ตอกย้ำกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ชูผลงาน 9 เดือน กำไรโต 21%

 

  • เดินหน้ายกระดับขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสร้างรายได้ช่องทางดิจิทัล
  • ชูจุดแข็งมาตรฐานบริการเวลธ์ พร้อมผลักดันแนวคิดความมั่งคั่งสู่กลุ่มศักยภาพใหม่ที่กว้างขวาง

 

 

           คุณกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมด้วยผู้บริหารธนาคาร คุณอรพงษ์ เทียนเงิน ผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Technology ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wholesale และรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth คุณลลิตภัทร ธรณวิกรัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด ร่วมกันแถลงข่าวทิศทางธุรกิจของธนาคารให้แก่คณะสื่อมวลชน ระหว่างกิจกรรม 2023 SCB Press Trip โดยประกาศเดินหน้ากลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ให้ธนาคารแข็งแกร่งกว่าที่เคย เตรียมนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขับเคลื่อนการบริการไร้รอยต่อในทุกช่องทาง ประกาศเป้าหมายสร้างรายได้ช่องทางดิจิทัลให้ขยับสู่ 25% ภายในปี 2025 รุกเสริมความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ให้เป็นที่หนึ่งในวงการ พร้อมผนึกพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระดับโลก จูเลียสแบร์ ผ่านการดำเนินธุรกิจของ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์สามารถดูแลลูกค้ามั่งคั่งระดับสูง (UHNWIs & HNWIs) ในประเทศไทย ให้สามารถเข้าถึงการลงทุนต่างประเทศ (Offshore) ได้อย่างไร้พรมแดน และสร้างการเติบโตในพอร์ตการลงทุน และเพิ่มผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง ขยายแนวคิดการวางแผนสู่ความมั่งคั่งเจาะกลุ่มศักยภาพใหม่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ตอกย้ำความแข็งแกร่งด้วยผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปีนี้สร้างกำไรสุทธิ 3.66 หมื่นล้านบาท เติบโต 21% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

 

           คุณกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือน 2566 ธนาคารมีรายได้ 1.1 แสนล้านบาท เติบโตจาก 9.9 หมื่นล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2565 และมีกำไรสุทธิ 3.66 หมื่นล้านบาท เติบโต 21% โดยมีรายได้ดอกเบี้ยเติบโตอย่างโดดเด่นเป็นผลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของภาคธนาคารซึ่งสอดรับกับการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโตเช่นเดียวกัน โดยมาจากค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อ ค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมทางการเงิน ในขณะที่ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 2 นอกจากนี้ ธนาคารยังสามารถรักษาผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) ได้ในระดับสองหลัก และควบคุมค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income) ใน 9 เดือนแรก ไว้ได้ที่ 37.4% ดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้

 

           ผลการดำเนินงานสะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ ผ่านกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ในระยะแรกที่ได้เริ่มดำเนินมาตลอด 1 ปีนี้ ด้วยการสร้างเสถียรภาพและความสมดุลให้เกิดขึ้นภายในองค์กร และเพื่อให้ลูกค้า พนักงาน และผู้ถือหุ้น มั่นใจในจุดแข็งของธนาคารที่เป็นอยู่ ด้วยการปักหมุดแนวทางที่ธนาคารจะปรับตัวเพื่อเป็นดิจิทัลแบงก์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี และพฤติกรรมของผู้บริโภคและลูกค้าที่จะย้ายไปสู่ระบบดิจิทัลในท้ายที่สุด รวมถึงการประกาศเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำธุรกิจบริหารความมั่งคั่งอันดับหนึ่งในประเทศไทย

 

           ในการดำเนินงานต่อจากนี้ ธนาคารจะเริ่มสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงธุรกิจให้ลูกค้าสัมผัสถึงประสบการณ์ใหม่ๆ ที่รู้สึกได้ ผ่านโฟกัสสำคัญใน 2 ส่วนหลัก ส่วนแรก คือการพัฒนาบริการธนาคารสู่การเป็นดิจิทัลแบงก์ เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ในอนาคตจะย้ายไปอยู่บนบริการดิจิทัลเกือบทั้งหมด โดยให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาระบบทั้งงานภายในและภายนอก รวมถึงการแสวงหาโอกาสในการสร้างรายได้ผ่านช่องทางดิจิทัล โดยมีเป้าหมายภายในปี 2025 จะต้องเพิ่มสัดส่วนรายได้ดิจิทัลให้เป็น 25% หรือราว 40,000 ล้านบาท

 

           ปัจจุบันรายได้ดิจิทัลของธนาคารอยู่ในระดับ 7% เพิ่มขึ้นจากปี 2022 ที่มีอยู่เพียง 3% โดยธนาคารมีฐานลูกค้าที่ใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลทุกแพลตฟอร์มรวมกันกว่า 25 ล้านราย โดยส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่ทำธุรกรรมมียอดรวมแต่ละปีอยู่ที่ประมาณ 7 พันล้านรายการ หรือกว่า 89% ของธุรกรรมทั้งหมดของธนาคาร

 

           โดยในระยะนี้ ธนาคารได้เริ่มปรับใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเรียนรู้และทำความรู้จักลูกค้าในช่องทางบริการต่างๆ ด้วยการสร้าง Chat bot ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยจะเริ่มที่การบริการ Call Center จากนั้นจะขยายสู่ SCB Connect เพื่อทำให้การปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าในลักษณะที่เป็น Client Interface ตรงกับความต้องการลูกค้าถูกที่ ถูกเวลา โดยมีแพลตฟอร์ม SCB EASY รองรับการทำธุรกรรมของลูกค้า โดยทั้ง SCB Connect และ SCB EASY จะทำงานควบคู่กัน เพื่อให้เกิดการประยุกต์ใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และในอนาคตยังมีแผนในการใช้ AI ให้คำแนะนำทางด้านการลงทุนให้กับลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายเพื่อเสริมประสิทธิภาพให้ธุรกิจ Wealth Management อีกด้วย นอกจากนี้ ธนาคารใช้เทคโนโลยีเอไอและแมชชีนเลิร์นนิ่งเพื่อเสริมศักยภาพแก่ทุกผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า โดยได้เริ่มไปแล้วในกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดเล็ก (SSME) เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์วงเงินเพื่อธุรกิจ ภายใต้ชื่อ Up เงินทันใจ และมีวงเงินอนุมัติแล้ว 2,000 ล้านบาทภายใน 5 เดือนแรก นอกจากนี้ธนาคารเตรียมผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัลไปยังผลิตภัณฑ์เทรดไฟแนนซ์และซัพพลายเชน ผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ และผลิตภัณฑ์การลงทุน เป็นต้น เพื่อร่วมกันผลักดันรายได้ดิจิทัลให้เป็น 25% ให้ได้ในปี 2025

 

           ส่วนที่ 2 ที่ต้องทำควบคู่กันไป คือ การเป็นที่หนึ่งในธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ด้วยการยกระดับจุดแข็งของธนาคารที่มีชื่อเสียงทางด้านการใช้ความรู้ความสามารถทางด้านการลงทุน และ Human Touch ของ ผู้จัดการธุรกิจสัมพันธ์ หรือ Relationship Manager (RM) ในการให้บริการลูกค้ามั่งคั่งในทุกระดับ ตั้งแต่ลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (สินทรัพย์ภายใต้บริหารการจัดการ หรือ AUM 100 ล้านบาทขึ้นไป) ผ่าน ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ บริษัทร่วมทุนระหว่างธนาคาร และ จูเลียส แบร์ ผู้นำตลาดธุรกิจบริหารความมั่งคั่งชั้นนำระดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ให้ลูกค้าสามารถขยายโอกาสในการลงทุนทั่วโลกได้แบบไร้พรมแดน โดยแม้ว่าเศรษฐกิจโลกผันผวน ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ยังคงสามารถดูแลนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนต่างประเทศ (Offshore) จนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับกลุ่มลูกค้า UHNWIs และ HNWIs ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

 

           ขณะเดียวกัน ธนาคารให้การดูแลลูกค้าในกลุ่ม Wealth ซึ่งประกอบด้วย SCB PRIVATE BANKING (AUM มากกว่า 50 ล้านบาท) SCB FIRST (AUM 10-50 ล้านบาท) SCB PRIME (AUM 2-10 ล้านบาท) ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าอยู่กว่า 500,000 ราย รวมสินทรัพย์ภายใต้บริหารจัดการ (AUM) กว่า 1.6 ล้านล้านบาท ซึ่งในเร็วๆ นี้จะมีการสร้างความแตกต่างทางธุรกิจให้เกิดขึ้นด้วยรูปแบบการให้บริการที่ครบวงจรและไร้รอยต่อ โดยตั้งเป้าหมายความเป็นที่หนึ่งในธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ซึ่ง AUM ต้องเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 20% จากปัจจุบันที่เติบโตเฉลี่ย 10%

 

           นอกจากนี้ ภาพของการบริหารจัดการความั่งคั่ง (Wealth Management) ในอนาคตที่ธนาคารมองก็จะต้องเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่อยู่เพียงกลุ่มลูกค้าที่มีสินทรัพย์ตามกำหนดแล้วเท่านั้น แต่ยังมองถึงการขยายการให้บริการไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการเริ่มต้นสะสมความมั่งคั่ง (Wealth Potential) เพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มพูนความมั่งคั่งในระยะยาวและเป็นไปได้สำหรับทุกคน มุ่งเน้นการมอบทางเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนพื้นฐานที่เข้าถึงง่าย และจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เป็นตัวช่วยในการมอบทางเลือกการลงทุนที่เหมาะสมให้กับลูกค้าในกลุ่มนี้เป็นหลัก โดยรูปแบบธุรกิจนี้กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในต้นปี 2567