“บริษัท เอ็นจีเอ็ม อินดัสเตรียล เราเป็นผู้ผลิตถุงพลาสติกสำหรับใส่ในอาหาร โดยเรามี 2 ส่วน คือ ถุงพลาสติก  และ  Flexible Packaging ก็คือถุงพลาสติกสำหรับ Shelf Life นานขึ้น ถ้าเรียกในภาษาบ้านเราก็เป็นถุงลามิเนต ที่ส่วนใหญ่จะเป็นไนลอน  แล้วก็มี PT และ เราก็เป็นผู้ผลิตตัว Packaging ผลิตทั้งถุงพลาสติกประเภท HDPE , LDPE แล้วก็ Flexible Packaging”

  “บริษัท เอ็นจีเอ็ม ของเราก็คือเป็นผู้ผลิต LLDPE Multilayer Films หรือที่เรียกว่าเป็น Raw Material ตั้งต้น สำหรับการผลิตงาน Flexible Packaging  ซึ่งส่วนนี้จะเป็นส่วนที่เราสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยี แล้วก็มีฟังก์ชั่นพิเศษขึ้นมา สำหรับ Packaging Final ของเรา ลูกค้าหลักๆส่วนใหญ่ก็เป็น BETAGRO , CP , Cargill หรือว่า Thai Union Frozen ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของประเทศไทย  ขณะนี้ เอ็นจีเอ็ม อินดัสเตรียล มีพนักงาน 350 คน สามารถผลิตได้ประมาณเดือนละ 700 ตันต่อเดือน โดยที่ส่วนใหญ่ 100% ก็คือขายในประเทศ แต่ว่าลูกค้าก็มีนำถุงเราเอาไปส่งออก แพ็กอาหารส่งออก และเนื้อที่โรงงานเรามีประมาณ 12 ไร่”

  “จุดแข็งของเราก็คือ เราเน้นเรื่องของคุณภาพและก็เรื่องของการให้บริการเป็นหลัก ความรวดเร็วในการตอบรับงาน แล้วก็นวัตกรรมใหม่ ๆ พลาสติกถุงที่เราใช้ทำใส่อาหาร แรก ๆ ก็คงจะเหมือนกับทั่วไป แต่หลังจากที่มีการค้าขายกับผู้ค้าไปเรื่อย ๆ ก็มีการพัฒนาให้ถุงใช้เม็ดพลาสติกน้อยลง แต่ว่าเม็ดพลาสติกยังแข็งแรงเหมือนเดิม  Shelf life ยังเหมือนเดิม คุณภาพของอาหารในถุงก็ยังเหมือนเดิม”

  “ถ้าพูดถึงเรื่องกระบวนการของ ESG มันก็ต้องแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ Environmental , Social และก็ Governance ในส่วนของ Environmental เราทำค่อนข้างหลายอย่าง แต่ว่าสิ่งที่เราเริ่มได้เร็ว เราเห็นชัดก็คือว่าการทำ Solar Rooftop แล้วก็รองลงมาจะเกี่ยวกับพวกกระบวนการการใช้ไฟฟ้า เช่นการปรับเปลี่ยนรถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้ในโรงงาน จากพวกน้ำมันหรือแก๊สให้กลายเป็นโฟล์คลิฟท์ที่ใช้ไฟฟ้า แล้วก็ส่วนที่เป็นเกี่ยวกับเรื่อง Waste จากขยะ เราก็มีการจัดการของเสียภายใน ก็ในเครือของเราก็จะมีโรงที่เรียกว่าโรงหลอมพลาสติก ก็คือของเสียที่เกิดจากกระบวนการเรา ไม่ปล่อยไปสู่ภายนอก ก็คือเราเข้ากระบวนการรีไซเคิลภายในให้กลับมาเป็นตัวเรซินก่อนอีกรอบนึง แล้วค่อยส่งขายไปโรงงานอื่น ที่ทำสินค้าประเภท Non Food อย่างเช่นพวกถุงขยะ ถุง Shopping Bag แล้วส่วนที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือว่าเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็คือเรา พัฒนาสินค้าใหม่ อย่างแรกก็คือการลดความหนาของการใช้ถุงพลาสติกลง เมื่อก่อนเราเคยใช้พลาสติกหนา 100 ไมครอน เราก็สามารถทำให้มันเหลือ 70 ไมครอน 80 ไมครอน โดยที่ฟังก์ชั่นยังเหมือนเดิม แล้วก็การ รีไซเคิลตัว Flexible Packaging ปัจจุบันมันจะมีปัญหาค่อนข้างใหญ่ก็คือว่า ผลิตภัณฑ์บางตัวเป็น Single use คือไม่สามารถเข้ากระบวนการ รีไซเคิลได้ แต่ว่าเราได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นมา เพื่อให้มันเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้”

  “เริ่มทำ ESG มาก็ทำให้เราเริ่มมีเงินเหลือกำไรมากขึ้น ก็จะมีเงินมาสำหรับที่จะซัพพอร์ตพนักงาน มีกองทุนเลี้ยงดูพนักงาน พอมีเงินกองทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็มีช่วยเหลือโรงพยาบาลละแวกใกล้ ๆ นี้  ก็มีถุงพลาสติกที่เป็นสีแดงที่บริจาคอยู่เป็นประจำ ถ้าเป็นทางด้านการศึกษา ก็มีให้ทุนการศึกษาโรงเรียนที่อยู่ในโซนใกล้ที่ตั้งตั้งโรงงานนี้” 

  “การทำ ESG สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผู้บริหารใส่ใจ แล้วก็เห็นความสำคัญของ ESG ว่าจะเป็น Mega Trends ในอนาคต แล้วก็เป็นหนทางสู่การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน  สิ่งนี้มันเหมือนกันออกกำลังกายครับ คือเราต้องค่อย ๆ ทำ ทำทีละเล็ก ทีละน้อย แต่ทำอย่างสม่ำเสมอ พอเราทำอย่างสม่ำเสมอแล้ว เราค่อยมาดูสเกลของเราว่าความสามารถหรือกำลังในการทำขององค์กรแต่ละองค์กรเรามีเท่าไร ก็ค่อยขยายขอบเขตการทำงานให้เหมาะสมกับองค์กรของเรา” 

  “อยากจะแนะนำทุก ๆ คน เราจะเห็น ข่าวน้ำท่วม ข่าวโลกร้อน คือถ้าทุกคนร่วมมือร่วมใจกัน ถ้าไม่ยากเกินไปก็ ผมก็แนะนำให้ลองศึกษา แล้วก็เข้ามาพัฒนาองค์กรของตัวเอง โรงงานของตัวเองหรือว่าจะเป็นบ้านของตัวเองก็ตาม ถ้าเรามองว่าตัวเองไม่ได้ใหญ่มากอย่างน้อยก็เป็นส่วนหนึ่ง ถ้าร่วมมือกันทุก ๆ คน มันก็จะดีขึ้น มองง่าย ๆ เพื่อลูกหลานของเรา ในยุคนี้ภัยธรรมชาติก็เยอะขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าทำในแนวของบริษัทก็มันก็ช่วยให้เราเข้าสู่ตลาด บางงานที่ลูกค้ามีความต้องการบริษัทที่ทำ ESG หรือ Sustainable ได้ง่ายขึ้น”

  “ณ ปัจจุบันการทำ ESG  เปรียบเทียบว่าถ้ามันเป็นสายน้ำ นี่ก็คือสายน้ำที่มันค่อนข้างใหญ่แล้วมาแน่นอน ถ้าถามเราในฐานะผู้บริหาร  เราก็มองว่าเราอยากจะเข้าไปอยู่ในกระแสนี้ เพราะว่ามันจะตอบโจทย์ความยั่งยืนในการทำธุรกิจในอนาคตของเรา เราก็เลยค่อย ๆ พัฒนาตรงนี้ให้เราเข้าไปอยู่ในกระแส ตอนนี้เราจะไม่ไปต่อสู้ดิ้นรนในพื้นที่ที่มันเคยเป็น Red Ocean เราก็จะวิ่งเข้าไปหากระแสใหม่ ตรงนี้ผมมองว่าเรายิ่งเข้าไปได้เร็ว คู่แข่งเราก็จะน้อยลง ความสามารถในการแข่งขันเราก็จะสูงขึ้น อันนี้ก็เป็นมุมมองของผมต่อ ESG ในปัจจุบัน”