ต้องยอมรับว่าธุรกิจอาหารแช่แข็งของไทยกำลังสดใสและตื่นตัวครึกครื้น ปีที่ผ่านมาได้ทำกำไรเกิน 1 หมื่นล้านบาท โดยมูลค่าตลาดเฉลี่ย 3 ปี แตะ 3 แสนล้านบาท นักลงทุนต่างเร่งจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลรายใหม่เพิ่มขึ้นจากปี 2564 กว่า 84% สะท้อนความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจเป็นที่สนใจของนักลงทุน ไทยครองแชมป์ อันดับ 1 การลงทุนทำธุรกิจอาหารแช่แข็งเป็นมูลค่าทุนกว่า 48,091.14 ล้านบาท ตามมาด้วยอันดับ 2 คือ ญี่ปุ่น ทุน 3,629.82 ล้านบาท

หนึ่งในความท้าทายสำคัญที่จะสามารถยืนหยัดอยู่ในธุรกิจที่มีความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่ความขยันเท่านั้น แต่ความมั่นคงทางการเงินและบริการที่พยายามต่อยอดความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอทำให้ ‘บุญศิริโฟรเซ่น’ ครองใจผู้บริโภคกว่าล้านคน กินระยะเวลายาวนานหลายสิบปี และยังคงไม่หยุดที่พัฒนาแตกลายสินค้าใหม่ ๆ เพื่อต่อสู้กับน่านน้ำที่เชี่ยวกราดแห่งนี้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

ใช้ความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมูลค่าอาหารทะเล

“มาดี้ก็โตมากับปูตั้งแต่เด็กค่ะ เริ่มแรกคุณแม่ขายปลาในตลาดสด เป็นแม่ค้าตลาดธรรมดา มีช่วงหนึ่งที่ปูค่อนข้างจะล้นตลาด แม่ก็ลองหันขายปูม้าบ้าง จนกระทั่งวันหนึ่งก็เกิดภาวะปูม้าล้นตลาด คือปรกติถ้าเรารับซื้อของจากลูกเรือเป็นประจำอยู่ ถ้าวันใดวันหนึ่งที่เขาของมาก เราก็ต้องรับซื้อทั้งหมด (อันนี้เป็นเรื่องปกติของการทำประมงและการค้าขายอาหารทะเล พอได้ปูเยอะ) เราจะเอาปูเป็นตัน ๆ ไปไว้ไหน เรายังไม่มีโรงงานของตัวเอง เราเป็นแค่แพรับซื้อของทะเล เราเลยต้องคิดแก้ปัญหานี้ เพราะปูสด ถ้าต้มแล้วจะอยู่ได้แค่ 3 วัน เกินกว่านั้นจะเสีย รับประทานไม่ได้ เราจึงหันมาศึกษากระบวนการพาสเจอร์ไรซ์ ซึ่งสามารถยืดอายุของสดได้ออกไปถึง 18 เดือน และหันมาทำปูพาสเจอร์ไรซ์เป็นหลัก คือรับซื้อปูธรรมดาเหมือนเดิม แต่ว่าเปลี่ยนรูปแบบจากการขายสด ส่งแกะ ส่งสด มาเป็นเอามาพาสเจอร์ไรซ์ให้หมด แล้วบรรจุลงกระป๋อง เป็นการเพิ่มมูลค่าของเนื้อปู (added value) ปูพาสเจอร์ไรซ์จะเก็บรักษาได้นาน โดยที่คุณภาพและความสดเหมือนที่คุณแม่ต้มที่หลังบ้าน นั่นเป็นจุดโดดเด่นของเราและเป็นจุดเปลี่ยนจากการเป็นแม่ค้าปกติสู่การเป็นบริษัทในปัจจุบันค่ะ”

ตอนนี้เราก็เป็นผู้นำเข้า แล้วก็จำหน่ายอาหารทะเลแช่แข็ง ปลาหมึก ดอลลี่ ดักแด้ กลุ่มพวกชิ้นส่วนหมูวัว เป็ด ไก่ ชิ้นส่วนเครื่องใน โปรดักส์หลักของเราก็คือปลาทูแช่แข็งค่ะ ในรุ่นพ่อแม่ท่านก็จะขายประมาณ 6 หมื่นตัว แต่พอในรุ่นเราทำต่อจากพ่อแม่มาได้ 18 ปีละ ตอนนี้ทะลุไปถึงประมาณล้านตัวต่อวัน เท่ากับประชากรประเทศไทย 66 ล้านคน 1 ล้านคนน่ะทานปลาทูบุญศิรินะคะ

Day 1 ก็คือ คุณพ่อคุณแม่ท่านก็ทำเหมือนกับเป็น SME เล็ก ๆ ตอนแรกเลยอะก็คือไม่ได้อยากทำเลย พ่อแม่ก็เกษียณแล้ว ไม่มีใครทำ ตอนนั้นปรอยเรียนจบโทแล้ว ปรอยเข็นของเอง ขับรถกระบะเกียร์กระปุก ไปส่งลูกค้าเอง เพราะเราไม่มีคน จนลูกค้ามาถามแม่ว่า ลูกสาวคนนี้ไม่ได้เรียนหนังสือเหรอ ทำไมน่าสงสารจังเลย เออดูแบบดูแกลำบาก คือโฟกัสมาก ทำยังไงก็ได้ให้สิ่งที่เราคิดไว้ มันต้องเป็นจริงให้ได้สิ พอมาทำก็ตั้งธงไว้ว่า ทำยังไงเราจะขายของถูกและดีมีอยู่จริง ให้มันสะดวกประหยัดของเราต้องดีจริง แล้วมันต้องถูกจริง ๆ นี่คือโจทย์ที่ยากละ ว่าเอ้ยอย่างนี้ต้นทุนก็สูงสิ แล้วของดี ๆ แพง ๆ เราจะเอามาขายถูก ๆ ได้ยังไง ดังนั้นมันก็จะเป็นการผลักดันตัวเราว่า เราต้องพยายามทำยังไงก็ได้ให้ต้นทุนมันต่ำ เราก็มองไปถึงการใช้เทคโนโลยี และนี่คือสิ่งที่ SCB ให้ค่า

กลุ่มลูกค้าเราเนี่ยก็จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่แบบเป็น Street Food รถเข็น ร้านอาหารตามสั่ง ร้านอาหารทั่วไป ชาบู หมูกระทะ หรือว่าพ่อค้าแม่ค้า กลุ่มคู่ค้าเราที่เป็นห้องเย็นขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ เรามีระบบขนส่งที่ทรงพลังมากก็คือเรามี ฟรีดรถเนี่ยเกือบ 100 คัน แล้วก็เป็นส่งฟรี 1 กล่องก็ส่งฟรี สั่ง 2,500 กล่องก็ส่งฟรี แล้วก็ส่งแบบในถิ่นที่แบบว่าลูกค้าไม่สะดวกที่จะออกมาจริง ๆ เป้าหมายก็คือส่งมอบของดีราคาถูก ให้กับลูกค้าได้มากขึ้นไปอีก เป้าหมายที่ 2 ก็คืออยากจะดูแลทีม ทีมที่เราต่อสู้ฝ่าฟันกันมาให้ดีขึ้นไปกว่านี้อีกอยากให้เขา มี Career Path ที่ดี อยากให้เขาแบบเติบโตมีความมั่นคงในชีวิตค่ะ

ปรอยชอบคนที่แบบเคมีตรงกัน SCB ให้คุณค่ากับสิ่งที่ปรอยพยายามจะทำ เขาให้ค่ามาก วันแรกที่ปรอยเจอ RM กับ ท่านผู้จัดการเขตเนี่ย ปรอยรู้ว่าท่านจะมาวันนี้ ปรอยเตรียมเลย Cash Flow Statement ทุกอย่างแบบเป๊ะ ประดุจดั่งว่าเราไปประชุมบอร์ด คำนวณ Financial Ratios ทุกอย่างก็คือพรีเซนต์แบบ Professional มาก ๆ ตั้งแต่วันนั้น ก็คือจากวงเงิน 50 ล้าน SCB ให้ 100 ล้าน และตอนนี้วงเงินก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ นะคะ SCB แบบไม่ได้มองแค่ว่าเรามีหลักประกันอะไร ทำธุรกิจอะไรแต่ SCB มองเห็นคุณค่าในตัวเรา มองเห็นจิตวิญญาณที่เราพยายามจะทำ ยังไม่ได้ถามเลย SCB ก็จะบอกว่าขาดมั้ย ด้วยความที่แบบเขาเชื่อใจเรามากอ่ะ มองเห็นข้างในลึก ๆ ของเราอ่ะ ไม่ได้มองแค่ภาพภายนอกของเรา SCB คือคนที่เราคุยได้ทุกเรื่องค่ะ แล้วก็เป็นคนที่เราสามารถแชร์ มุมที่เรารู้สึกอ่อนแอ มุมที่เรารู้สึก Aggressive มุมที่เราแบบวางแผนอะไรไว้ พาร์ทเนอร์ที่ดีคือคนที่มองเห็นคุณค่าในตัวเรา

โห RM ท่านภาค ท่านเขต ทำไม SCB สามารถสร้างคนได้ดีขนาดเนี่ยแบบว่า ดีทุกคนเลยอ่ะ เราก็อินมาก แล้วก็แบบใส่ใจแล้วก็แบบ โอ้โหแบบทำไมเขาเป็นห่วงเราจังเลย อยากให้เรามีความเสี่ยงน้อย ดูแลแบบเหมือนเพื่อนสนิทอ่ะ เฮ้ยแกเป็นยังไงบ้างอะไรอย่างงี้ แบบเหนื่อยมั้ย มันมีความจริงตรงนั้นน่ะ มันไม่ใช่แบบตามหน้าที่มันคือจากก้นบึ้งของจิตใจ แล้วมันยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า เขาให้คุณค่าเราขนาดเนี่ย เราทำเป็นเล่น ๆ ไม่ได้นะเนี่ย เราต้องตั้งใจทำธุรกิจนะ เพราะว่า SCB ก็เหมือนกับเอาเงินมาให้เรายืม แล้วเราจะแบบอยากจะทำอะไรก็ทำก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาเชื่อใจเรามาก ๆ มันก็ยิ่งเป็นพลังส่งมาให้เรา ว่าเราจะต้องตั้งใจทำงาน เราจะต้องมี Business Ethic ที่ดี เราจะต้องรักษาคำพูด สร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ให้กับคนที่เห็นคุณค่าเราให้เขามองเห็น ทางท่านภาคหรือว่าทาง RM เนี่ยก็จะ Make Comment ที่เป็นประโยชน์ แล้วมันทำให้เรา กลับมาทำการบ้านแล้วก็พยายาม ควบคุมความเสี่ยงของบริษัท ให้ได้ดียิ่งขึ้นไปอีกะค่ะ วันที่สรุปกันเรียบร้อยแล้วก็ยังคุย กับผู้จัดการเขตว่า เอ่อ.. ขอบคุณนะที่มองเห็นตัวเรา แล้วก็เห็นศักยภาพเรา เพราะตอนนั้นก็ 13 ปีที่แล้วอะค่ะ SCB ทำให้เราโตไวมากค่ะ จากยอดขายที่คุณพ่อคุณแม่ทำไว้ที่ 60 ล้าน ตอนนี้เราขึ้นมาประมาณ 3,000 กว่าล้าน ต่อปี เราเป็นเรือเล็กที่ควรออกจากฝั่งอะ แต่เราไม่กลัวเพราะว่าเรามียานแม่ ที่แข็งแรงมาก ที่นำทางเรา ไม่เคยทิ้งเราเลย เราไม่เคยรู้สึกเคว้งคว้าง เพราะว่า SCB เคียงข้างเราค่ะ”

การมีพาร์ทเนอร์ที่ดีจะทำให้คุณอุ่นใจในทุกย่างก้าวแห่งความเสี่ยงเมื่ออยู่ในสนามการแข่งขันทางธุรกิจ ในการเดินทุกครั้งเราต้องมั่นใจว่าสิ่งที่ทำนี้มาถูกทางและแน่วแน่มากพอที่จะตัดสินใจในวิกฤตที่เข้ามาท้าทายผ่านทุกอุปสรรค หากเราไม่หมดไฟที่จะหยุดในการพัฒนาหรือลืมเลือนจิตวิญญาณแห่งความฮึดสู้และการมองเห็นค่าในธุรกิจของเราแล้ว ยังคงมีหลากหลายเส้นทางที่จะทำให้เราเติบโต พร้อมมีเพื่อนคอยเคียงข้างอย่างเข้าใจ